สำหรับเด็กและแม่ตั้งครรภ์การป้องกันเชื้อโควิดแบบธรรมดาคงไม่เพียงพอ!!  ด้วยตัวเลขการติดเชื้อที่อยู่ในระดับเกือบ 2 หมื่นคนต่อวัน ที่สำคัญคุณแม่ตั้งครรภ์ ยังเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงของโรคที่หากติดเชื้อแล้วจะมีความรุนแรงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า ฉะนั้นแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์และเด็กน้อยต้องยกระดับป้องกันไวรัสขั้นสูงสุดกันเลย       

แม่ท้อง เด็ก ป่วยโควิดสุดอันตราย ป้องกันไว้ดีที่สุด

เพราะ “หญิงตั้งครรภ์” เป็น 1 ใน 6 กลุ่มเสี่ยงที่ทางภาครัฐให้ความสำคัญและกำลังเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีน (สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิ 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี 2.ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) 3.ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 4.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 5.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และ 6.โรคอ้วน มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป) เนื่องจากเป็นกลุ่มมีความเสี่ยงของโรคที่รุนแรงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า โดยจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังสูงต่อเนื่อง ขยับยอดผู้ป่วยสะสมกว่า 3 แสนคน ถือว่ายังน่าห่วง จึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันและเฝ้าระวังกลุ่มผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะ “หญิงตั้งครรภ์” เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เปราะบางมาก  ซึ่ง “กรมอนามัย” ได้เปิดเผยตัวเลขหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิดตั้งแต่เดือนเมษยายน-กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบคุณแม่ตั้งครรภ์ติดเชื้อกว่าสามพันคน และเสียชีวิตรวมเกือบ100 คน

               ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2563 ถึง 13 ส.ค.2564 พบว่า “หญิงตั้งครรภ์” ติดเชื้อโควิด มีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 1.85 % สูงเป็น 2.5 เท่าของคนทั่วไป ในจำนวนผู้เสียชีวิตนี้ประมาณครึ่งหนึ่งยัง “ไม่ได้คลอดบุตร” ขณะที่อัตราการเสียชีวิตของเด็กมีประมาณ 1.8 % ซึ่งอาจเสียชีวิตก่อนคลอดหรือหลังคลอด รวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีอัตราการคลอดก่อนกำหนดมากกว่าปกติ ส่วนอัตราการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกพบประมาณ 11 % ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดโดยตรงหรือจากการสัมผัสหลังคลอด

สถานการณ์โควิดในเด็กก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีผู้ป่วยเด็กสะสมตั้งแต่เดือนเมษายน-สิงหาคม กว่า 1 แสนราย โดยจำนวนเด็กที่ติดเชื้อคิดเป็นร้อยละ 13 ของผู้ติดเชื้อใหม่ทุกกลุ่มอายุ (ข้อมูลจากสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย)นั่นหมายความว่า ในผู้ใหญ่ 100 คนจะมีเด็กติดอยู่ถึง 13 คนที่สำคัญเมื่อต้นเดือนสิงหาคมยังมีเด็กทารกอายุแค่ 14 วันเสียชีวิตหลังติดโควิด19 ด้วย 

รักษาโควิดในเด็กและแม่ตั้งครรภ์ได้ยาก

            นอกเหนือจากการติดเชื้อในแม่ตั้งครรภ์ที่มีความรุนแรงกว่าคนทั่วไป 3 เท่าแล้ว การรักษาโรคโควิดในเด็กและคุณแม่ตั้งครรภ์ก็ทำได้ยากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากการรักษาโควิด19 ส่วนใหญ่จะรักษาและให้ยาตามอาการที่เกิดขึ้น รวมถึงสามารถกินสมุนไพรช่วยได้โดยไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตรายมากเท่าไร ในขณะที่แม่ตั้งครรภ์และเด็กกินยาฟ้าทะลายโจรไม่ได้ เพราะในเด็กจะต้องกินในปริมาณและขนาดที่เหมาะสม ส่วนในคุณแม่ตั้งครรภ์หากกินฟ้าทะลายโจรจะมีผลกระทบกระเทือนถึงลูกน้อยในท้องคุณแม่ 

ยิ่งหากคุณแม่ติดเชื้อโควิดจนลงปอดและต้องทำการรักษา ก็มีข้อจำกัดในการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เพราะมีข้อมูลพบว่ายานี้ทำให้เกิดผลข้างเคียงทั้งอาการคลื่นไส้อาเจียน อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความพิการ หากรับประทานยาในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ยานี้มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เมื่อรับประทานร่วมกับยาบางชนิด มีผลต่อการทำงานของตับ ฉะนั้นยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิดนี้ถือเป็นยาอันตราย ที่ต้องใช้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณแม่ตั้งครรภ์และเด็กคือการป้องกันขั้นสูงสุดไม่ให้ติดเชื้อโควิดเด็ดขาดนั่นเอง

Protection ธรรมดายังคงไว้  นั่นคือใช้มาตรการตามคำแนะนำจากรัฐ โรงพยาบาล และคำแนะนำจากสูติแพทย์ที่คุณแม่ฝากครรภ์ หรือแพทย์ประจำตัวลูกน้อย ได้แก่

• การไม่ออกจากบ้าน พบปะคนให้น้อยที่สุด แยกห้องนอนหรือที่อยู่กับคนที่มีความเสี่ยง และเลี้ยงลูกหรืออยู่กับคนมั่นใจว่าปลอดภัยจริงๆ หรือหากทำได้แม่แต่คนในบ้านเองก็หลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันไว้ให้มากที่สุด
• กินอาหารสดใหม่ กินร้อน ใช้ช้อนกลางของตัวเอง ไม่กินอาหารร่วมกับคนอื่น แยกจานชามช้อน และแยกล้างได้ยิ่งดี
• ไม่ใช้ของส่วนกลางร่วมกัน หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ส่วนกลาง เช่น ลูกบิดประตู ราวบันไดและอื่นๆ
• ใส่หน้ากากอนามัยแม้อยู่ในบ้าน และใส่ให้ลูกด้วย ล้างมือฆ่าเชื้อบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์นานพอ 20 วินาที และควรฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อหรือฉีดแอลกอฮอล์ที่สิ่งของใช้สม่ำเสมอ ทั้งของที่อยู่ในบ้านและของที่สั่งเดลิเวอรี่
• หากจำเป็นต้องเดินทางควรใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น คือหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งและหน้ากากผ้าเพื่อปิดปาก จมูกและคาง ไม่ให้มีช่องว่างให้อากาศภายนอกเข้าได้ และให้หน้ากากกระชับใบหน้า

Extra Protection ยกระดับป้องกันโควิด ด้วยสเปรย์พ่นจมูกชนิดผง

แม้จะใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น แต่ไวรัสที่ลอยอยู่ในอากาศคือสิ่งที่มองไม่เห็นและสามารถลอดเข้ามาในจมูกคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกรักได้ ดังนั้นเพื่อยกระดับการป้องกันแบบขั้นสุดไม่ให้แม้แต่ไวรัสที่ลอยในอากาศเข้าจมูกได้ จึงขอแนะนำ “สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง”  นวัตกรรมใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ

“สเปรย์พ่นจมูกแบบผง” เกราะสำคัญป้องกันไวรัส

• นวัตกรรมใหม่ ผลิตจากประเทศอังกฤษ ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ ป้องกันไข้หวัด
• จากผงสเปรย์เมื่อพ่นแล้วจะเปลี่ยนเป็นเจลในโพรงจมูก มีคุณสมบัติในการดักจับและป้องกันไวรัสที่แพร่กระจายในอากาศ ไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกจนอาการรุนแรง
• มีผลการศึกษายืนยันประสิทธิภาพการป้องกันไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดระยะเวลารักษา และลดความรุนแรง
• มีสรรพคุณทำให้เชื้อโรคและไวรัสมีฤทธิ์ที่อ่อนลง ลดความเสี่ยงติดเชื้อรุนแรง
• ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ ผ่านการทดสอบทางคลินิก อ่อนโยน ปลอดภัย ไม่มีส่วนผสมของยา ไม่มีผลข้างเคียง
• เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร และใช้ได้ในลูกวัย 3 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ
• ใช้ได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ควรพ่นทุกครั้งก่อนใช้ชีวิตประจำวันพ่นเพียง 1 ครั้ง ออกฤทธิ์นาน 6 ชั่วโมง  
• ออกฤทธิ์เร็วภายใน 2 นาที เพียงพ่นให้ลูกหรือให้ตัวเองวันละ 2-3 ครั้ง ป้องกันไวรัสได้ทั้งวัน ยิ่งหากใช้สเปรย์พ่นจมูกชนิดผงก่อนใส่หน้ากากอนามัย ยิ่งมั่นใจว่าไวรัสจะไม่เล็ดลอดเข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกคุณแม่และลูกได้มากขึ้น
• อุ่นใจเวลาเดินทางนอกบ้าน เพราะทั้งพ่นจมูกและใส่หน้ากากอนามัย ถือเป็นการป้องกันได้แบบขั้นสุด

วิธีใช้ง่ายดาย :   

1. แค่เปิดฝา – เขย่า 3.พ่นจมูกข้างละ 1-2 ครั้ง 4.เช็ดทำความสะอาด
2. ในระหว่างการเดินทางควรใช้ วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันไวรัสในอากาศไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกได้ตลอดวัน
3. ในกรณีที่เป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ใช้วันละ 3 ครั้ง จนกว่าไม่มีอาการ

REF .https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/956200

https://workpointtoday.com/19covid-9/

https://www.pidst.or.th/A1077.html

https://www.prachachat.net/general/news-734621

https://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=2366