เชื่อว่าคนเป็นพ่อแม่คงไม่มีใครอยากให้ลูกต้องไม่สบายเพราะอาการ “ภูมิแพ้” โรคฮิตที่เป็นกันได้ตั้งแต่เด็กไปจนโต เราจึงมาแนะนำให้ทุกท่านรีบเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันภูมิแพ้ให้ลูกรักทั้งจากภายนอกและภายในตั้งแต่ยังเล็กๆ พร้อมกับหมั่นป้องกันสารก่อภูมิแพ้ไม่ให้เข้ามาทำร้ายสุขภาพลูกตั้งแต่วันนี้ เพื่อลดความเสี่ยงภูมิแพ้เรื้อรังในวันหน้า
ภูมิแพ้ในเด็ก ป่วยได้ตั้งแต่เล็กจนโต
ภูมิแพ้…เกิดจากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มีการตอบสนองมากผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ที่เข้ามาสู่ร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยสามารถแสดงอาการได้ในระบบต่างๆ ทั้งทางผิวหนัง เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา เยื่อบุทางเดินหายใจ หรือเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งโรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบบ่อยได้แก่
*โรคหืด เกิดจากทางเดินหายใจที่บวม ตีบแคบลง ซึ่งถูกกระตุ้นโดยปฏิกิริยาภูมิแพ้ หรือสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย จะทำให้มีอาการหายใจเสียงดัง “วี้ด” หอบ แน่นหน้าอก อาจเกิดอาการในตอนกลางคืน ขณะออกกำลัง หรือขณะเป็นหวัด
*โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ ทำให้มีอาการ จาม คันจมูก คัดแน่นจมูก มีน้ำมูกใส มักเป็นเรื้อรัง หลายสัปดาห์ ในช่วงฤดูฝน หรือตลอดทั้งปี
*โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง จะทำให้ผิวหนังมีผื่น คัน จนผิวหนังแดง เป็นเรื้อรัง โดยจะพบในเด็กเล็กและมีอาการมากเมื่อมีสิ่งกระตุ้นเช่น อากาศร้อน เหงื่อออก แพ้อาหาร เป็นต้น
*ผื่นลมพิษ จะทำให้มีอาการคัน บวม มีผื่นผวหนังขึ้นนูนและหนา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้ยาและอาหารบางชนิด นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิดก็เป็นสาเหตุที่พบได้
*แพ้อาหาร เนื่องจากเกิดปฏิกิริยาแพ้โปรตีนใน อาหาร ก่อให้เกิดอาการได้หลายๆ ระบบ ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร ทำให้ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายมีมูกปนเลือด อาการทางผิวหนัง มีผื่นขึ้น ลมพิษ หรือระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบ คัดจมูก มีน้ำมูกเรื้อรัง อาหารที่พบว่าเป็นสาเหตุได้บ่อยๆ คือ นมวัว นมถั่วเหลือง ไข่ และแป้งสาลี และเด็กมักจะมีอาการแสดงเริ่มต้นในขวบปีแรกและมีอาการเรื้อรัง เป็นๆหายๆ
*เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ทำให้เด็กมีอาการแสบตา คันตา น้ำตาไหล ขยี้ตาบ่อย จนขอบตาช้ำ สีคล้ำ โดยพบบ่อยร่วมกับอาการเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้
ปัจจัยเสี่ยงของภูมิแพ้ในเด็ก
1. ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม นั่นคือ เด็กที่มีประวัติพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ มักมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ถึง 20-40% และ 50-80% ในกรณีที่พ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โดยที่อาจจะไม่ได้เป็นภูมิแพ้ชนิดเดียวกันหรือแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดเดียวกันก็ตาม
2. ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้กันมาก โดยคนที่ป่วยโรคภูมิแพ้ถึง 15% ไม่ได้มีพ่อหรือแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้ แต่เกิดจากการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ การเลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น สุนัข แมว ตลอดจนการได้รับมลพิษทางอากาศเช่น ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันบุหรี่ หรือการรับประทานนมจากสัตว์ เช่น นมวัว นมแพะ รวมทั้งนมถั่วเหลืองในช่วงอายุ 6 เดือนแรกเกิดแทนที่จะเป็นนมแม่ ก็เป็นปัจจัยเสียงที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้
5 วิธีสร้างภูมิป้องกันลูกแพ้ตั้งแต่เล็ก
หากลูกเป็นภูมิแพ้ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่นิ่งนอนใจ เพราะการที่ลูกเป็นภูมิแพ้เรื้อรังจะส่งผลทำให้มีอาการกำเริบรุนแรง หรือเปลี่ยนแปลงเป็นโรคที่อันตรายได้มากขึ้น เช่น หากปล่อยให้มีอาการจมูกอักเสบภูมิแพ้รุนแรง อาจส่งผลทำให้เป็นโรคหอบ หืด ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา และทำให้มีอาการแพ้เรื้อรังรบกวนชีวิตประจำวันไปจนโต ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรรีบสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกทั้งลูกๆ ทั้งจากภายในร่างกาย และป้องกันสารก่อภูมิแพ้จากภายนอก ด้วย 5 วิธีสร้างภูมิคุ้มกันและการป้องกันดีๆ ให้ลูกรักไม่เสี่ยงต่อการได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าร่างกาย จนทำให้เจ็บป่วยไม่สบาย หรือมีอาการภูมิแพ้เรื้อรังไปจนโต ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1) ให้ลูกกินนมแม่ยาวนานที่สุด
การให้นมแม่ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ให้ลูกน้อยได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการศึกษาที่พบว่าการเลี้ยงลูกด้วนนมแม่ด้วยระยะเวลาสั้นๆ หลังลูกน้อยเกิด เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น ในช่วงก่อนวัยเรียน และมีการศึกษาที่พบว่าการกินนมแม่ลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับทารกได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยชะลอเวลาหรือป้องกันการเกิดโรคผิวหนังอักเสบ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เสียงวี้ดที่เกิดจากการตีบของหลอดลม และการแพ้นมวัว ซึ่งโอกาสที่นมแม่จะกระตุ้นให้เด็กเกิดอาการแพ้เป็นไปได้ยาก เพราะนมแม่ง่ายต่อการย่อยสลายและยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในปอดที่กระตุ้นให้เกิดโรคหอบหืดได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างงานวิจัยที่ได้วิเคราะห์ผลการศึกษา 12 ชิ้น ซึ่งมีเด็กเข้าร่วมการศึกษา 8,183 คน พบ่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวนาน 1 เดือน พบอัตราการเป็นโรคหืดน้อย และยังพบน้อยกว่าเมื่อแยกวิเคราะห์เฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ (มีพันธุกรรมของโรคในครอบครัว) และล่าสุดจากการทบทวนผลงานวิจัยทั้งหมด 4,000 ชิ้น ผลพบว่าการกินนมแม่อย่างน้อย 4 เดือน จะลดโอกาสการเกิดโรคหืดในเด็กเล็กได้ ดังนั้นการให้ลูกน้อยกินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 4-6 เดือน สามารถลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กเล็กได้ และคาดว่าการให้กินนมแม่ได้ยาวนานลูกก็จะได้รับภูมิคุ้มกันจากนมแม่ได้ยาวนานขึ้นตามไปด้วย แต่กรณีการที่ลูกเป็นภูมิแพ้ในตอนโตขึ้นยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะอาจมีปัจจัยอื่นๆเช่นสิ่งแวดล้อมรอบตัว มาเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กโต เช่น สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น รังแคจากสัตว์เลี้ยง เกสรพืช และอื่นๆ ฉะนั้นจึงแนะนำให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดเพียงอย่างเดียวจนถึง 6 เดือนแรก และให้กินนมแม่เสริมกับอาหารตามวัยให้นานที่สุด เพื่อลดโอกาสการแพ้นมวัว และการเป็นภูมิแพ้ต่างๆ
หากลูกมีอาการแพ้อาหาร คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อแพ้ในขณะให้นมลูก เนื่องจากอาหารที่คุณแม่กินนั้นสามารถส่งผลน้ำนมไปถึงลูกน้อยได้ ดังนั้นหากลูกป่วยมีอาการแพ้อาหาร คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ควรสังเกตว่าลูกมีอาการแพ้หลังจากที่คุณแม่กินอาหารอะไร และต้องงดกินอาหารนั้น เพื่อไม่ให้ลูกมีแพ้เกิดขึ้น
2) ดูแลความสะอาดสม่ำเสมอ
เนื่องจากโรคหืดและโรคภูมิแพ้เกิดจากปัจจัยสำคัญสองประการคือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งในบ้านและนอกบ้าน เช่น สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ทั้งไรฝุ่นที่สะสมในเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน และของใข้ ขนสัตว์ สารระคายเคือง ที่กระตุ้นให้ลูกมีอาการภูมิแพ้จมูกหรือแพ้อากาศได้ง่าย ดังนั้นการหมั่นทำความสะอาด ดูดฝุ่น เช็ดเฟอร์นิเจอร์และของใช้ไม่ให้เป็นที่สะสมฝุ่นก็จะช่วยลดอาการแพ้ของลูกไม่ให้กำเริบขึ้นได้ รวมถึงการหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมไม่ให้อับชื้น ดูแลผิวหนังให้แห้งสะอาด ซักผ้าปูที่นอน เครื่องนอน และเสื้อผ้าให้ลูกด้วยน้ำร้อนและตากแดดบ่อยๆ เพื่อกำจัดไรฝุ่นไม่ให้สะสมจนทำให้ลูกมีอาการแพ้กำเริบได้ง่าย ก็เป็นวิธีที่ดีและสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกมีอาการแพ้และกำจัดสารก่อภูมิแพ้ไม่ให้สะสมมากยิ่งขึ้น
3) ระวังอาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้
หากลูกเริ่มให้อาหารเสริมแล้วคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาหารเสริมที่ให้ลูก โดยสังเกตว่าหลังจากที่ลูกกินแล้วมีอาการแพ้เกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร เพื่อจะได้รู้ทันและป้องกันหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่ทำให้ลูกมีอาการแพ้ได้ ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้ เช่น ถั่วลิสง ถั่วยืนต้น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี อาหารทะเล ซึ่งควรค่อย ๆ ให้อาหารเสริมกับลูกน้อยทีละอย่างในช่วง 4 – 6 เดือนแรก เมื่อเจ้าตัวเล็กสามารถรับอาหารได้แล้ว จึงค่อย ๆ ให้อาหารประเภทปลาและถั่ว เพราะหากให้อาหารประเภทนี้กับลูกช้าเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาโรคภูมิแพ้ได้ด้วยเช่นกัน
4) หนีให้ห่าง สารก่อภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี สารที่มีพิษ
พยายามจัดห้องให้ลูกหรือทำบ้านให้สะอาด ปราศจากสารก่อภูมิแพ้ ฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์อยู่เสมอ พร้อมจัดการเก็บหนังสือให้อยู่ในตู้ หรือไม่ให้อยู่ในห้องลูก ทิ้งเศษอาหาร ป้องกันแมลงสาบ สร้างอากาศที่ดีในบ้าน ให้ลูกอยู่สภาพแวดล้อมที่ห่างไกลฝุ่นพิษ PM 2.5 ฝุ่นควัน สารเคมี อากาศเสีย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือน้ำยาที่อาจมีสารพิษหรือทำให้ลูกแพ้ระคายเคืองได้ง่าย ทั้งน้ำยาทำความสะอาด แชมพู สบู่ โลชั่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาซักผ้า น้ำยาที่นำมาซักเสื้อผ้าผ้าอ้อมและเครื่องนอนลูก รวมถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวลูก ควรเลือกที่มาจากธรรมชาติไม่มีสารเคมีอันตรายต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกมีอาการแพ้ทางผิวหนัง และสูดดมสารระคายเคืองที่สารเคมีที่เสี่ยงต่อการแพ้ต่างๆ เข้าไปด้วย
(ที่มาของข้อมูล : https://www.bangkokhospital.com/content/prevention-of-allergies-and-asthma-in-children, http://allergy.or.th/2016/resources_expert_detail.php?id=116, https://www.phyathai.com/article_detail/th/ภูมิแพ้ในเด็กที่พ่อแม่_ต้องรู้ )
5) ใช้สเปรย์พ่นจมูกป้องกันสารก่อภูมิแพ้
เพื่อบล็อกสารก่อภูมิแพ้ไว้ไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุจมูกและทางเดินหายใจของลูกได้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเฉพาะสเปรย์พ่นจมูกชนิดผงสำหรับเด็ก นาซัลลีซ ชิลเดรน อัลเลอจี บลอคเกอร์ ( Nasaleze Children Allergy Blocker) เป็นนวัตกรรมของสเปรย์พ่นจมูกชนิดผง (powder nasal spray ที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดอาการภูมิแพ้หรือแพ้อากาศ ด้วยคุณสมบัติพิเศษต่างๆ นั่นคือ
- ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ 100% มีส่วนประกอบของผงเซลลูโลส (HPMC) 97% และผงสตรอว์เบอร์รี่ 3% มีประสิทธิภาพป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในอากาศไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูก จนมีเกิดอาการแพ้กำเริบได้
- ช่วยสร้างเกราะป้องกันในจมูก โดยเปลี่ยนผงสเปรย์เป็นเจลใสในโพรงจมูก เพื่อดักจับและป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้ในอากาศเข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกของลูกได้
- มีกลไกช่วยลดการแตกตัวของแกรนูลในแมสเซลล์ การหลั่งฮีสตามีน ทำให้สามารถป้องกันการเกิดอาการภูมิแพ้หรือแพ้อากาศได้
- ผ่านการทดสอบทางคลินิกมากกว่า 35 การศึกษา ในผู้ป่วยมากกว่า 1,000 คน และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการทางการแพทย์ชั้นนำหลายฉบับ รวมถึงได้รับรางวัลต่างๆ
- ได้รับการแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ และเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้มีผลการศึกษายืนยันประสิทธิภาพในการลดอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล
- ผลิตในประเทศอังกฤษ มาตรฐานระดับสากลจากสมาคมโรคภูมิแพ้แห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Allergy Asthma & Immunology) ได้ระบุว่าเป็นตัวป้องกันสารก่อภูมิแพ้ (Allergen blocker) ได้
- ออกฤทธิ์เร็วภายใน 2 นาที พ่นเพียง 1 ครั้ง สามารถป้องกันสารก่อภูมิแพ้ได้ถึง 6 ชั่วโมง พ่นวันละ 2-3 ครั้ง หรือทุก 6-8 ชั่วโมง จะช่วยป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในอากาศเข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกลูกได้ตลอดทั้งวัน
- อ่อนโยนปลอดภัยต่อเด็ก ใช้ได้กับลูกน้อยวัยตั้งแต่ 18 เดือนขึ้นไป คุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร ไม่มีส่วนผสมของยา ไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน
- ผ่านการตรวจสอบและมีเอกสารรับรอง ได้รับใบอนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์จาก อย. เลขที่ ฆพ.673/2564
- มีใบอนุญาตนำเข้าเครื่องมือแพทย์ เลขที่ GBR6304847
#ติดเชื้อทางเดินหายใจ #หวัด #ไข้หวัดใหญ่
#Nasaleze #นาซัลลีซ #สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง #NasalezeAllergyBlocker #AllergyBlocker
#สเปรย์พ่นจมูกดักจับสารก่อภูมิแพ้ #MadeInEngland #เพิ่มการ์ด #ExtraProtection #นวัตกรรมใหม่ #innovation #ภูมิแพ้ #สารก่อภูมิแพ้
#แพ้ไรฝุ่น #แพ้ขนสัตว์ #แพ้เกสรดอกไม้ #แพ้อากาศ #ตัวช่วยห่างไกลภูมิแพ้#ป้องกันภูมิแพ้ตั้งแต่จมูก #บอกลาภูมิแพ้ #ลาออกจากการเป็นภูมิแพ้ #เกราะป้องกันภูมิแพ้
#หวัดป้องกันได้ #เชื้อโรคลอยในอากาศ#นาซัลลีซ #สเปรย์พ่นจมูก #ไม่ใช่ยา #ดักจับเชื้อโรค
#นาซัลลีซทราเวล #ExtraProtection #Germblocker #Invisible_mask #ป้องกันดีกว่ารักษา
Line : @nasaleze (มี@ ด้านหน้าด้วยนะคะ) หรือ คลิก https://lin.ee/Iy3ufdh