ผ่านมาเกือบ 2 ปีแต่โควิดไม่แผ่ว!! แถมยังมีสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนที่ติดได้ง่ายหลายเท่า ยิ่งล่าสุดมีข้อมูลที่ออกมาบอกว่าไวรัสสายพันธุ์นี้ติดง่ายแบบไม่รู้ตัวและวัดไข้ก็ไม่พบ เราจึงชวนทุกคนมาเช็กกันว่าอาการแบบไหนที่บอกว่าติดเชื้อ และทางเลือกใหม่ที่จะสร้างเกราะป้องกันไวรัสได้ที่จมูก
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เปิดเผยข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้ว่า สถานการณ์ปัจจุบันที่โควิด19 ยังคงมีการติดเชื้อกันอยู่มาก แม้จะมีความรุนแรงต่ำแต่การติดเชื้อกันได้ง่ายทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นได้รวดเร็ว โดยขณะนี้โควิดสายพันธุ์โอมิครอน คือสายพันธุ์หลักที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในประเทศไทย และความพิเศษของสายพันธุ์โอมิครอนคือเป็นไวรัสที่ติดต่อกันง่ายที่สุด ง่ายกว่าเชื้อโรคทางเดินหายใจทุกชนิดในโลก ถึงแม้ว่าเราจะใส่หน้ากาก 2 ชั้นก็ยังมีโอกาสติดได้ ซึ่งจากการ
มีผู้ติดเชื้อโอมิครอนในไทย พบว่าอาการที่เข้าข่ายว่าเป็นการติดเชื้อโควิด19 โอมิครอน มักจะมีอาการต่างๆ ที่สังเกตได้ดังนี้
- ไอ 54%
- เจ็บคอ 37%
- มีไข้ 29%
- ปวดกล้ามเนื้อ 15%
- มีน้ำมูก 12%
- ปวดศีรษะ 10%
- หายใจลำบาก 5%
- ได้กลิ่นลดลง 2%
ไม่ติดเชื้อ ไม่เสี่ยง Long COVID
แม้ผู้ที่ติดโควิดโอมิครอนอาจจะมีอาการน้อย แต่ผลต่อสุขภาพร่างกายเมื่อมีการติดเชื้อโควิดไม่ได้เป็นเรื่องที่ดี เพราะคนที่เคยติดเชื้อสามารถมีอาการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการรักษาหายจากโรคแล้วได้ด้วย ซึ่งกลุ่มอาการเหล่านั้นเรียกว่า ภาวะโพสต์โควิด (Post – COVID 19 Condition) หรือ ลองโควิด (Long COVID) ที่สันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสไปทำลายสมดุลระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นได้ ซึ่งพบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ตั้งแต่ 32% จนถึง 96% ที่ 90 วันหลังการติดเชื้อ โดยข้อมูลล่าสุดของการทบทวนหลักฐานจากข้อมูลทางสถิติ (Meta – Analysis) ที่มีผู้ป่วยโควิด ประมาณ 10,000 คน พบว่า หลังจากติดเชื้อ 60 วัน มีผู้ป่วยถึง 73% ที่ยังคงมีอาการแม้ว่าจะรักษาโรคจนหายแล้ว (โดยการตรวจไม่พบสารพันธุกรรมไวรัส)
อาการลองโควิด คือ กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นภายหลังจากการติดเชื้อโควิดตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเกิดขึ้นได้กับหลายระบบในร่างกาย โดยมีอาการและอาการแสดงในแต่ละระบบที่แตกต่างกันไป นั่นคือ
- ระบบทางเดินหายใจ มีอาการเหนื่อย หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่สะดวก
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด อาการใจสั่น แน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว
- ระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย ลดความอยากอาหาร
อาการอื่น ๆ ที่ไม่จำเพาะเจาะจงต่อระบบใดๆ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ ไม่มีแรง อ่อนเพลีย
- ระบบประสาทและจิตเวชศาสตร์ ได้แก่ อาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ นอนไม่หลับ ภาวะสับสน ความผิดปกติของ
ระบบประสาทอัตโนมัติ ภาวะเครียดหลังเจอเหตุร้ายหรือพีทีเอสดี อาการซึมเศร้า กลุ่มอาการย้ำคิดย้ำทำ และภาวะวิตกกังวล
- ภาวะสมองล้า คือ ภาวะที่สมองมีการทำงานลดลง โดยส่งผลให้การคิดและตัดสินใจช้าลง การวางแผนและ
แก้ปัญหาลดลง สมาธิน้อยลง บางคนอาจเป็นมากจนส่งผลให้ลืมความจำระยะสั้น หรือทำให้ไม่สามารถทำงานที่เคยทำเป็นประจำได้
- ความผิดปกติที่พบได้จากการตรวจเลือดโดยไม่มีอาการ เช่น ค่าเอนไซม์ตับสูงขึ้นผิดปกติ ค่าการกรองและการ
ทำงานของไตลดลง ค่าการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ผิดปกติ ความสามารถในการควบคุมระดับน้ำตาลลดลงในผู้ป่วยเบาหวาน และค่าระบบการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
- ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ มี 2 ภาวะที่มักพบ ได้แก่
- กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า ซึ่งลักษณะของกลุ่มอาการนี้คือ หัวใจเต้นเร็วมากกว่าปกติเวลาเปลี่ยนท่า เช่น ลุกขึ้นยืนหรือนั่ง ทำให้เกิดอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ปวดศีรษะ มึนศีรษะ ไปจนถึงหน้ามืดและหมดสติได้
- ภาวะเหนื่อยล้าเรื้อรัง อาการของภาวะนี้คือ อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ สมองล้า คิดได้ช้าลง ขาดสมาธิ และมีปัญหาเรื่องการนอน
- กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก (MIS-C) พบได้ในกลุ่มเด็กที่อายุน้อยกว่า 21 ปี โดยเป็นภาวะที่พบได้
หลังจากการติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลา 2 – 8 สัปดาห์ ทำให้ร่างกายมีการอักเสบในหลายระบบและมีอาการต่างๆ คล้ายกับภาวะลองโควิดได้ ซึ่งอาการนี้ก็สามารถพบได้ในผู้ใหญ่เช่นกัน แต่จะเรียกว่า MIS-A ทำให้มีอาการอักเสบทั่วร่างกายในหลาย ระบบ จนเกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ ไม่อยากอาหาร ใจสั่น แน่นหน้าอก หอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ รวมถึงความผิดปกติจากการตรวจเลือด เช่น เกล็ดเลือดต่ำ ค่าการอักเสบสูงขึ้น ค่าการบาดเจ็บของหัวใจสูงขึ้นได้
ป้องกันอย่าให้ติดเชื้อง่าย รีบสกัดไวรัสไว้ที่จมูก
เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดสุขภาพในหลายระบบขนาดนี้ จึงไม่คุ้มที่แน่หากจะให้ร่างกายต้องติดเชื้อร้ายนี้เพียงน้อยนิด เพราะผลที่ตามมาล้วนบั่นทอนสุขภาพร่างกายให้เสื่อมและแย่ลงได้มากมายกว่าที่คิด ฉะนั้นเราจึงขอแนะนำให้ทุกท่านป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อร้าย ใส่หน้ากากที่มองไม่เห็นไว้ในจมูก ด้วย สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง นาซัลลีซ ทราเวล ( Nasaleze Travel) นวัตกรรมจากธรรมชาติ ที่จะดักจับและป้องกันเชื้อโรค ไวรัส ที่แพร่กระจายในอากาศไม่ให้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในระดับสากล
- ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ 100% ประกอบด้วยผงเซลลูโลส(HPMC) 93% จากเปลือกสนอังกฤษ ผงกระเทียมป่ายุโรป 5% และผงเปปเปอร์มิ้น 2%
- ทำงานโดยเปลี่ยนผงสเปรย์ให้เป็นลักษณะเจลในจมูก ช่วยดักจับและป้องกันไวรัสที่แพร่กระจายในอากาศไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุจมูก
- สามารถทำให้เชื้อโรค ไวรัส มีฤทธิ์อ่อนลง ช่วยลดอาการรุนแรงของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ได้ และลดระยะเวลาในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้อีกด้วย
- ผ่านการทดสอบทางคลินิก ยืนยันประสิทธิภาพในการใช้งานได้จริง
- ปลอดภัยสูง ไม่มีส่วนผสมของยา ไม่มีผลข้างเคียง สามารถใช้ได้ในเด็กวัย 3 ปีขึ้นไป คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่ให้นมบุตร และผู้สูงอายุ
- พ่นเพียง 1 ครั้ง ออกฤทธิ์เร็วภายใน 2 นาที นาน 6 ชั่วโมง พ่นเพียงวันละ 2-3 ป้องกันไวรัสได้ทั้งวัน
- ผ่านการรับรอง ได้รับใบอนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์จาก อย. เลขที่ ฆพ.1059/2564
- มีใบอนุญาตนำเข้าเครื่องมือแพทย์ เลขที่ GBR6304847
- หนึ่งขวดสามารถสเปรย์ได้ถึง 200 ครั้ง หรือใช้ได้ประมาณ 30-50 วัน
- ใช้แล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีอย. ใน 40 ประเทศ จำหน่ายแล้วกว่า 20 ล้านขวด
- ควรใช้สเปรย์พ่นจมูกก่อนออกจากบ้าน เมื่อเดินทาง ต้องออกไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนหนาแน่น หรือที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากไวรัส และแบคทีเรีย
- ในกรณีที่เกิดอาการไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ก่อนใช้นาซัลลีซ ทราเวลสามารถใช้นาซัลลีซ เพื่อลดระยะเวลาในการเป็นไข้หวัดได้อีกด้วย
#ติดเชื้อทางเดินหายใจ #หวัด #ไข้หวัดใหญ่
#หวัดป้องกันได้ #เชื้อโรคลอยในอากาศ
#นาซัลลีซ #สเปรย์พ่นจมูก #ไม่ใช่ยา #ดักจับเชื้อโรค
#นาซัลลีซทราเวล #ExtraProtection #Germblocker #Invisible_mask #ป้องกันดีกว่ารักษา
Line : @nasaleze (มี@ ด้านหน้าด้วยนะคะ) หรือ คลิก https://lin.ee/Iy3ufdh