อย่าชะล่าใจ…ว่าป่วยอาการน้อยไม่เป็นไร เพราะมีคำเตือนบอกว่า แม้จะติดเชื้อไวรัสอาการไม่รุนแรง ไม่ลงปอด แต่สมองจะมีการหดตัว มีปัญหาระบบประสาทและความจำได้ ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือต้องป้องกันไม่ให้ติด เพื่อพิชิตไวรัสร้าย สกัดเอาไว้ไม่ให้เข้าร่างกายได้ตั้งแต่ที่ปลายจมูก

แม้ติดเชื้อไวรัสน้อย แต่สมองเสียหาย

ใครที่คิดว่าติดเชื้อโควิดตอนนี้แล้วอาการจะน้อย ป่วยไม่มากเพราะฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้ไม่ป้องกันตัวเองเคร่งครัด ต้องกลับมาคิดใหม่กันแล้ว ที่สำคัญต้องป้องกันตัวเองให้เต็มที่ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะมีคำเตือนจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford ที่บอกว่า คนที่ติดโควิดแม้จะมีอาการไม่รุนแรง แต่สมองมีการหดตัวลง 0.2 – 2% และสูญเสียเนื้อสมองสีเทา ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสาทรับกลิ่นและความทรงจำ ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองได้ โดยผู้ที่หายจากโควิดต่างก็มีความสามารถทางสมองลดลง เมื่อให้ลองทำบทสอบทางความคิดที่ซับซ้อนอีกด้วย

ข้อมูลที่น่ากังวลนี้ เผยแพร่ออกมาทั่วโลกผ่านสำนักข่าวทั้ง CNN และ Reuter โดยบอกว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆเพราะจากการวิจัยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัย Oxford โดยมีศาสตราจารย์ เกวแนล ดูออด เป็นหัวหน้าทีมวิจัยนี้ ได้ทำการตรวจจริงจังในเรื่องความแตกต่างของสมองในช่วงก่อนและหลังจากติดโควิดด้วยวิธี MRI (magnetic resonance imaging) จากอาสาสมัคร 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นผู้ที่ติดโควิด 401 คน ซึ่ง 96% เป็นผู้มีอาการไม่รุนแรง การสแกนสมองมีขึ้น 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 4.5 เดือน ส่วนกลุ่มที่ 2 จำนวน 384 คนเป็นผู้ที่ไม่ติดโควิด โดยมีผลจากกลุ่มผู้ที่ติดโควิดพบว่าแม้จะติดโควิดและมีอาการป่วยไม่รุนแรง แต่สมองมีการหดตัวลงประมาณ 0.2-2% คล้ายกับคนวัยชรา สูญเสียเนื้อสมองสีเทา (grey matter) ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสาทรับกลิ่นและความทรงจำ และเมื่อทำการทดสอบทางสมองให้ใช้ความคิดที่ซับซ้อนก็พบว่าผู้ที่เพิ่งหายจากโควิดกลุ่มนี้มีความสามารถทางการคิดลดลง

งานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า คนที่ติดเชื้อโควิด19 แม้จะมีอาการไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองได้ แม้ทีมนักวิจัยจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ถาวรหรือไม่ก็ตาม โดยศาสตราจารย์ ดูออด ชี้ว่าสมองมีความสามารถในการเยียวยาตัวเอง และมีโอกาสมากที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเบาบางลงเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่พบว่า ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อสมองสีเทาที่ควบคุมประสาทรับกลิ่น แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเชื้อไวรัสโคโรนาได้เข้าไปทำลายสมองส่วนนี้โดยตรง หรือเป็นเพราะเซลล์ส่วนนี้ตายลงจากการไม่ได้ใช้งาน หลังจากผู้ป่วยโควิดสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่น นอกจากนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าเชื้อโรคโควิดทุกสายพันธุ์จะสร้างความเสียหายแบบเดียวกันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ นาโอมิ อัลเลน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์โครงการ UK Biobank ได้ให้ความคิดเห็นว่า งานวิจัยชิ้นนี้คือหลักฐานสำคัญที่ช่วยเปิดไปสู่คำถามต่างๆ เพื่อให้นักวิจัยคนอื่นสามารถศึกษาต่อยอดได้เกี่ยวกับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีต่อการทำงานของสมอง

               ฉะนั้นทุกคนต้องไม่ชะล่าใจ เพราะโควิดร้ายยังไม่หมดสิ้นหรือหายไปได้ง่ายๆ และจากข้อมูลที่กล่าวมาก็ทำให้รู้ว่าแม้จะป่วยโควิดแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้สมองมีปัญหาหาได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ทุกคนป้องกันตัวเองในแบบสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่บ้านเรามีตัวเลขผู้ติดเชื้อเกือบ 30,000 คนต่อวัน  (แถมยังไม่รวมยอดตรวจเจอจาก ATK อีกกว่าสองหมื่นต่อวันเช่นกัน)    

ป้องกันได้ผลสุด หยุดโอไมครอนได้ ที่ปลายจมูก

เพราะจากข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่โดย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งได้ออกมาบอกว่า วิธีป้องกันโควิดที่ได้ผลน่าจะเป็นการป้องกันจุดที่ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่า เช่น การใช้วัคซีนพ่นจมูก เหตุผลเนื่องจากที่เราเห็นกันได้อยู่ทุกวันนี้นั่นคือ  การระบาดของเชื้อโอมิครอน ที่ตอนนี้แม้ว่าจะได้รับวัคซีน 3 เข็ม หรือ 4 เข็ม ก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แม้ว่าจะช่วยป้องกันความรุนแรงของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเป็นเพราะวัคซีนแบบฉีดจะไปกระตุ้นการผลิตแอนติบอดีในเลือดเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่เข้ามาภายในร่างกายแล้ว  ฉะนั้นวิธีป้องกันให้ได้ผลมากกว่าน่าจะเป็นการป้องกันจุดที่ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกาย เช่น การผลิตวัคซีนแบบพ่นจมูก ที่จะมีกระบวนการป้องกันพื้นผิวเยื่อเมือก (mucosal vaccine) ของจมูก ปาก และลำคอ ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของไวรัสได้ดีมากกว่าวัคซีนแบบฉีด 

ซึ่งนักวิจัยในต่างประเทศทั้งนักภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเยล ก็มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า ภูมิคุ้มกันของเยื่อเมือกมีความสำคัญมากสำหรับการป้องกันการติดเชื้อ ผู้ที่ติดเชื้อมักจะมีภูมิคุ้มกันของเยื่อเมือกที่แข็งแรงขึ้น นั่นอาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมผู้ที่หายจากโรคโควิด19 ถึงมีภูมิต่อต้านเชื้อเดลตามากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีน

และเมื่อนักวิจัยได้ทำการทดลองให้วัคซีนกระตุ้นภูมิทางจมูกกับสัตว์ทดลองหลายชนิด ยังมีผลการวิจัยพบว่า วัคซีนดังกล่าว สามารถป้องกันไวรัสโคโรนาได้หลากหลายสายพันธุ์ วัคซีนแบบพ่นจมูกกระตุ้นเซลล์หน่วยความจำภูมิคุ้มกันและแอนติบอดีในจมูกและลำคอ ช่วยเสริมการป้องกันจากการฉีดวัคซีนปฐมภูมิ โดยวัคซีนแบบพ่นจมูกจะผลิตแอนติบอดีที่เรียกว่า IgA บนผิวเยื่อเมือก ซึ่งการพ่นวัคซีนเป็นฝอยละอองจะสามารถเคลือบระบบทางเดินหายใจทั้งหมด รวมทั้งปอด ไม่ใช่แค่เพียงปลายจมูกและลำคอเท่านั้น วัคซีนแบบพ่นจมูกจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ

แค่หน้ากากอนามัยยังไม่พอ ต้องป้องกันจมูก หยุดทุกเชื้อโรค

จึงขอชวนทุกคนมาป้องกันไวรัสที่ต้นทางไม่ให้ผ่านเข้าสู่ร่างกาย ดีกว่าเสี่ยงติดเชื้อจนป่วยไข้ไม่คุ้มกับความเสียหายของร่างกาย ด้วยการใช้ สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง Nasaleze Travel (นาซัลลีซ ทราเวล) ช่วยป้องกัน ดักจับเชื้อโรคและไวรัสในอากาศจากประเทศอังกฤษ นวัตกรรมใหม่เพื่อสุขภาพมากคุณสมบัติ นั่นคือ

• ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ 100%  มีส่วนผสมของผงเซลลูโลส(HPMC) 93% จากเปลือกสนอังกฤษ  ผงกระเทียมป่ายุโรป 5% และผงเปปเปอร์มิ้น 2%
• ทำงานโดยเปลี่ยนผงสเปรย์ให้เป็นลักษณะเจลในจมูก ช่วยดักจับและป้องกันไวรัสที่แพร่กระจายในอากาศเข้าสู่เยื่อบุจมูก
• ทำให้เชื้อโรค ไวรัส มีฤทธิ์อ่อนลง ลดอาการรุนแรง และลดเวลาในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ได้
• ผ่านการทดสอบทางคลินิก  ยืนยันประสิทธิภาพในการใช้งานได้จริง
• ปลอดภัยสูง ไม่มีส่วนผสมของยา ไม่มีผลข้างเคียง ใช้ได้ในเด็กวัย 3 ปีขึ้นไป คุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
• พ่นเพียง 1 ครั้ง ออกฤทธิ์เร็วภายใน 2 นาที นาน 6 ชั่วโมง พ่นเพียงวันละ 2-3 ป้องกันไวรัสได้ทั้งวัน
• ผ่านการรับรอง ได้รับใบอนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์จาก อย. เลขที่ ฆพ.1059/2564
• มีใบอนุญาตนำเข้าเครื่องมือแพทย์ เลขที่ GBR6304847
• ใช้แล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีอย. ใน 40 ประเทศ จำหน่ายแล้วกว่า 20 ล้านขวด  
• ควรใช้สเปรย์พ่นจมูกก่อนออกจากบ้าน เมื่อเดินทาง ต้องออกไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนหนาแน่น หรือที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากไวรัส และแบคทีเรีย