จากข้อมูลที่กระทรวงศึกษาธิการเตรียมพร้อมเปิดเทอม 2/2564 โดยคาดว่าจะเปิดเรียนเต็มรูปแบบได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ (แนวโน้มการเปิดเทอม อย่างเร็วที่สุดอาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 15 พฤศจิกายน นี้ และรูปแบบการเปิดเรียนอาจจะเป็นไปตามข้อเสนอของที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (บอร์ด กพฐ.)ครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ผ่าน ที่มา : แหล่งข่าวสพฐ) แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าลูกจะปลอดภัยแน่นอน ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมป้องกันเชื้อโรคให้ลูก
กรณีกระทรวงศึกษาธิการ โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้บริหารระดับสูงของ ศธ.ได้แถลงข่าว “เตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 สถานศึกษาปลอดภัย เด็กได้รับวัคซีนถ้วนหน้า” เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา พร้อมมีแผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กอายุ 12 -18 ปี ในเดือนตุลาคมนี้ โดยจะเริ่มฉีดให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน ตามความยินยอมของผู้ปกครอง และตั้งเป้าหมายให้นักเรียน นักศึกษาทุกคน ได้รับวัคซีน Pfizer เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน
เด็กเล็กกว่า 12 ปี ยังเสี่ยงอยู่ดี เพราะไม่ได้รับวัคซีน
แม้จะมีข่าวออกมาอย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะวัคซีนนี้จะฉีดให้เฉพาะเด็กอายุ 12-18 ปีขึ้นไปเท่านั้น แล้วหากเรามีลูกรักที่อายุน้อยกว่านั้นก็ยังต้องเสี่ยง!! เนื่องจากวัคซีนที่จะฉีดให้เด็กโตผ่านการพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันนั้น มีวัคซีน COVID-19 เพียงชนิดเดียวคือ วัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
ส่วนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย มีคำแนะนําให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18 ปี ทุกราย หากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปกติแข็งแรงดี และที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง เพราะเป็นกลุ่มอายุที่กําลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีการดําเนินชีวิตใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ และมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มากเพียงพอ
สําหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 15 ปี แนะนําให้ฉีดวัคซีนในกรณีเป็นผู้ป่วยเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งจะทําให้เกิดโรคโควิด-19 รุนแรง ดังต่อไปนี้
- บุคคลที่มีโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือมีน้ําหนัก 70 กิโลกรัม ขึ้นไปในเด็กอายุ 12-13 ปี น้ําหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 13-15 ปี น้ําหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 15-18 ปี หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น)
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคไตวายเรื้อรัง
- โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- โรคเบาหวาน
- กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า
อย่างไรก็ตาม สําหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยอยู่ ฉะนั้นแม้ลูกจะอายุ 12 ปีขึ้นไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงของวัคซีน ยิ่งในลูกที่อายุน้อยกว่า 12 ปี ก็ยังไม่มีวัคซีนโดยเฉพาะ ดังนั้นการป้องกันตัวลูกให้ห่างไกลจากการติดเชื้อยังเป็นสิ่งที่ดีที่สุด มากกว่าการรอวัคซีนที่ไม่รู้ว่าจะมีผลข้างเคียงต่อเด็กในระยะยาวอย่างไร และยังไม่มีวัคซีนไหนที่ปลอดภัยที่สุด
แม้รับวัคซีนแล้ว ก็ป้องกันโรคร้ายไม่ได้ 100%
แม้จะมีข้อมูลเหล่านี้ออกมาให้ผู้ปกครองได้เตรียมพร้อมและเด็กๆ ได้ดีใจที่จะได้ไปโรงเรียน แต่เชื่อว่าข่าวนี้จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายต้องกังวลใจกับความปลอดภัยของลูกอย่างแน่นอน เพราะปัญหาโควิดที่ยังไม่หมดไป ยังคงติดเชื้อโรคร้ายกันวันละเป็นหมื่น แม้ลูกจะได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว 1 เข็ม แต่วัคซีนที่ลูกได้รับนั้นก็ยังป้องกันการติดเชื้อได้ไม่เต็มร้อย ฉะนั้นพ่อแม่คือคนสำคัญ ที่ต้องสร้างเกราะที่จมูกให้ลูกทุกวันด้วย “สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง” และสอนลูกให้รู้จักป้องกันดูแลตัวเองพกพาตัวช่วยติดตัวไปโรงเรียนทุกวันเพื่อป้องกันไวรัส
สร้างเกราะในจมูกให้ลูก ก่อนไปโรงเรียน
คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมพร้อมและสอนให้ลูกสามารถดูแลตัวเองป้องกันโรคระบาดด้วยตัวเองได้ก่อนที่จะไปโรงเรียน
ทั้งการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องแบบ 2 ชั้น การพกสเปรย์หรือเจลแอลกอฮอล์ไปโรงเรียน สอนการหมั่นล้างมือบ่อยๆ รวมถึงอาจต้องมีหน้ากากอนามัยสำรองไว้ให้ลูกเปลี่ยน แต่เด็กส่วนใหญ่ยังช่วยหลือตัวเองได้ไม่ดี ไม่ค่อยระวังตัวเอง ทำให้ถอดๆใส่ๆหน้ากากอนามัยบ่อยๆ ใส่แล้วหลุดบ้าง หรือเผลอเอามือจับแล้วจับหน้าจังของกินได้ง่าย พ่อแม่จึงต้องสอนให้ลูกรู้จักสร้างเกราะที่จมูกให้ตัวเอง ด้วยการใช้ “สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง” ป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายที่โรงเรียน
“สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง” ที่ผู้ใหญ่ใช้ได้ เด็กยิ่งใช้ดี
เตรียมพร้อมป้องกันไวรัสให้ลูกไปโรงเรียนได้แบบที่คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจด้วยการใช้ สเปรย์พ่นจมูกชนิดผง พ่นให้ลูกก่อนออกเดินทางจากบ้าน และสอนให้ลูกพ่นจมูกป้องกันตัวเองระหว่างวันได้ จะช่วยทำให้คุณแม่สบายใจ ว่าลูกรักที่อยู่ห่างไกลสายตาและเจอคนเยอะที่โรงเรียนห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษของสเปรย์พ่นจมูกชนิดผง นวัตกรรมใหม่ที่ผลิตจากประเทศอังกฤษ ดังนี้
- เป็นผงสเปรย์ที่พ่นแล้วจะเปลี่ยนเป็นเจลในโพรงจมูก ไม่แสบไม่ระคายเคือง
- ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติ HPMC หรือผงเซลลูโลส Garlic powder และ Peppermint powder กลิ่นหอมสดชื่น
- ช่วยดักจับและป้องกันไวรัสที่แพร่กระจายในอากาศ ไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกของลูกรัก
- มีสรรพคุณทำให้เชื้อโรคและไวรัสมีฤทธิ์ที่อ่อนลง ลดความเสี่ยงติดเชื้อรุนแรง
- มีผลการศึกษายืนยันประสิทธิภาพในการป้องกันไข้หวัด ช่วยลดระยะเวลารักษา และลดความรุนแรงทั้งไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ได้
- มีคุณสมบัติในการป้องกันการติดเชื้อ และลดความรุนแรงของการติดเชื้อทางเดินหายใจ
- ผ่านการทดสอบทางคลินิก ไม่มีส่วนผสมของยา ไม่มีผลข้างเคียง
- อ่อนโยน ปลอดภัยต่อลูกรักวัย 3 ปีขึ้นไป คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่ให้นมบุตร และผู้สูงอายุ
- พ่นเพียง 1 ครั้ง ออกฤทธิ์เร็วภายใน 2 นาที นาน 6 ชั่วโมง พ่นวันละ 2-3 ป้องกันไวรัสให้ลูกได้ทั้งวัน
- สอนลูกใช้ได้ง่าย แค่เปิดฝา -เขย่า -พ่น –เช็ด ลูกก็มีหน้ากากทิพย์ในจมูกแล้ว
- ควรสอนลูกให้พ่นสเปรย์ที่จมูก 1 ครั้งก่อนออกจากบ้าน และให้ลูกพ่นอีก 1-2 ครั้ง ระหว่างอยู่ที่โรงเรียน
- มั่นใจเวลาลูกไปโรงเรียน เดินทางนอกบ้าน เพราะทั้งพ่นจมูกและใส่หน้ากากอนามัย ป้องกันได้แบบขั้นสุด
- คุ้มค่าใช้ได้นาน เพราะ 1 ขวด ให้ลูกเก็บไว้ใช้ได้ถึง 200 ครั้ง
- นิยมใช้ในต่างประเทศ ด้วยยอดขายกว่า 20 ล้านขวด ใช้แล้วในมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
- มีเอกสารรับรองการจดทะเบียนอย.
Ref. https://news.thaipbs.or.th/content/307938 / https://www.komchadluek.net/hot-social/483681/
https://www.thairath.co.th/news/society/2193648
#ติดเชื้อทางเดินหายใจ #หวัด #ไข้หวัดใหญ่
#หวัดป้องกันได้ #เชื้อโรคลอยในอากาศ
#นาซัลลีซ #สเปรย์พ่นจมูก #ไม่ใช่ยา #ดักจับเชื้อโรค
#นาซัลลีซทราเวล #ExtraProtection #Germblocker #Invisible_mask #ป้องกันดีกว่ารักษา
Line : @nasaleze (มี@ ด้านหน้าด้วยนะคะ) หรือ คลิก https://lin.ee/Iy3ufdh